เรื่องสั้นไมเคิ้ล เลียไฮ

รถไฟ…ขี้โกง : ไมเคิ้ล เลียไฮ

มันเป็นแค่สถานีรถไฟระหว่างจังหวัด ไม่ใช่สถานีใหญ่ มีนายสถานียืนถือธงสีแดงกับสีเขียว แต่บางทีต้องวิ่งไปสับหลีกรถไฟเอง ที่จริงแม้จะมีนายสถานีถึงสองคน มันก็เป็นแค่สถานีรถไฟระหว่างจังหวัดอยู่ดี

ผมมองดูเธอจัดเสื้อผ้าและข้าวของในกระเป๋าเดินทางเปื้อนฝุ่น ท่าทางเหน็ดเหนื่อย

“ไม่ต้องจัดจนมันดีขนาดนั้นหรอก”

ความรู้สึกเบื่อหน่ายในความเจ้าระเบียบของเธอเกิดขึ้นโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เราเพิ่งลงจากเขาสูง หลังใช้เวลาอยู่บนนั้นนานสองวัน ตื่นเช้า ต้มน้ำชงกาแฟ อ่านหนังสือ เล่นมือถือ อาบน้ำ และนอน

แต่การเดินลงเขาแตกต่างจากการเดินขึ้นเขามาก

“เลิกจัดซะทีได้ไหม กระเป๋ามึงน่ะ”
“ทำไม”
“กูรำคาญ”

เราอยู่ตรงช่วงห่างระหว่างหมู่บ้านกับหมู่บ้านท่ามกลางป่าเขา ไม่มีถนนตัดผ่าน เนื่องจากไม่ใช่สถานีที่รถไฟทุกขบวนจะเข้าเทียบจอด ผมรู้สึกประสาทเสียเมื่อรถไฟไม่มาตามตารางเวลาที่ควรเป็น

ในระหว่างที่เธอก้มหน้าจัดสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋านั้น

“จะจัดให้มันเกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา”
“ก็แล้วทำไมล่ะ”

ผมจุดบุหรี่สูบ โมโห มองไปทางอื่น

“ควรจะคอยรถไฟ ไม่ใช่จัดกระเป๋า”

จากสถานีรถไฟเล็กๆ อาคารไม้ นายสถานีเดินไปเดินมา ทางเดินเทปูนเลื้อยตัวไปบนเนินเขา ผ่านศาลไม้เล็กฝีมือปลูกสร้างโดยชาวบ้าน แทรกตัวหายเข้าไปในเรือกไม้

“นั่งจัดแต่กระเป๋า ไม่รู้สึกอะไร”
“ก็รถมันยังไม่มานี่” เธอเถียง
“แล้วเมื่อไรมันจะมา”
“ใครจะไปรู้ล่ะ”
“ถ้าไม่รู้ก็นั่งเฉยๆ ไว้ ไม่ต้องจัดกระเป๋า”

ผมมองดูเธอ รูปร่างเล็ก ขาวซีด ท่าทางอ่อนแอเหมือนคนเจ็บป่วยตลอดปี

“ก็แค่รถไฟมาช้า”
เธอว่า แล้วก้มลงจัดกระเป๋าอีก
“นี่” ผมขึ้นเสียง “พูดไม่รู้เรื่องเหรอ”
เธอเงยหน้ามอง เม็ดเหงื่อเกาะบนจมูก ท่าทางลังเล
“เลิกจัดกระเป๋าได้แล้วนะ เห็นแล้วกูหงุดหงิด”
“แค่กูจัดกระเป๋า มันเป็นอะไรวะ”
เหมือนต้องการยั่วโมโห
“กูไม่ชอบ”
นายสถานีหันมามองที่เราสองคน ทั้งสถานีรถไฟมีผู้โดยสารอยู่แค่นี้
“มึงจะคอยรถไฟก็คอยไปสิ”
เธอม้วนสายชาร์จเข้าด้วยกัน รัดมันด้วยหนังยางสีดำ ท่าทางขาดได้ง่ายๆ
“มันมาเมื่อไร มันก็มาเองแหละ”

ผมแกล้งไม่สนใจ มองไปทางห้องแถวไม้สามหลังที่ปลูกติดกัน มันเป็นตลาดเล็กๆ ขายของสดของแห้ง มีกล้วยไม้จากป่าที่เราค้างแรมแขวนไว้ที่หน้าร้าน ผมพูดขึ้น

“แต่มันควรจะมาได้แล้วมั้ย”
เสียงเธอเป่าลมออกจากปาก
“กูจะไปรู้เรอะ”

นายสถานีมองไปทางอื่น เขาจุดบุหรี่ขึ้นสูบ สายตามองไปที่ปลายสุดของรางรถไฟที่ทอดตัวยาว สวมชุดสีกากีอ่อน สวมหมวก ติดป้ายชื่อที่อก รองเท้าหุ้มส้นของเขาดูเป็นรองเท้าหนังราคาถูกๆ กางเกงของเขาใหญ่โคร่งไม่สมตัว

“มากับมึงอะน่าเบื่อ” ผมพูดอีก “มึงทำแต่เรื่องน่าหงุดหงิดน่ะ กูรำคาญ เข้าใจป่ะ”
“เออ”
เธอรื้อของในกระเป๋าออกมาจนหมด แทบจะเทมันออกมา
“มึงทำอะไรน่ะ” ผมถาม
“จัดกระเป๋าไง”
“โอ้ย ตามสบายมึงเหอะ”

ผมลุกเดินไปที่ห้องแถวไม้ด้านข้างสถานีรถไฟ ถามหากาแฟสักถ้วย แม่ค้าเป็นหญิงแก่ที่อาศัยค้าขายกับชาวบ้านและคนที่มาเที่ยวในช่วงหนาว มีแต่กาแฟซองละห้าบาทที่ค่อนข้างหวานกับน้ำร้อนในกระติก ผมมองไปทั่วร้าน ขนมซองละห้าบาทที่ไม่เคยโฆษณาในโทรทัศน์ ถั่วราคาถูกในซองพลาสติก น้ำอัดลมที่ยังไม่มีชื่อเสียงในเวลานั้น

ผมมองกลับไปที่เธอ กำลังง่วนกับการจัดกระเป๋า
“บุหรี่ล่ะ มีไหม”
หญิงแก่พยักหน้า ซองบุหรี่สำหรับคนในระดับล่าง

ผมจ่ายเงินแล้วเดินกลับมา หมอกเรี่ยดอยที่พอมองเห็น ต้นไม้รกเรื้อสีเขียวอ่อนแก่ผลัดใบ หญ้าแทงยอดรับน้ำฝนเมื่อชั่วคืน ตอนเราเดินลงมาจากเขาแปดกิโลเมตร อุทยานไม่มีอาหารขายในช่วงไร้นักท่องเที่ยว เส้นทางเป็นโคลนเลนและเรื่องน่าหงุดหงิดจากปากของเธอ

“มึงจะจัดไปถึงไหนเหรอ กระเป๋ามึงเนี่ย”
“ก็จนกว่ากูจะจัดเสร็จ”

นายสถานีมองมาที่เราอย่างไม่ตั้งใจ เขารีบมองไปทางอื่น มองไปที่จุดเดิมที่เขามองอยู่ ยกขาข้างหนึ่งขึ้นคลายอาการปวดเกร็งที่เกิดจากเส้นเอ็น ผมมองดูเขา กางเกงตัวใหญ่รัดด้วยเข็มขัดจนโป่งออก

“เมื่อกี้จะจัดเสร็จแล้ว มึงก็เทออกมาอีก”
“เขาเรียกว่าประชด”

ผมกดโทรศัพท์มือถือ ไล่รายชื่อดูว่าใครบ้างที่อยู่แถวปลายทางข้างหน้า ใครบ้างที่เมื่อเราไปถึงแล้วจะเป็นเพื่อนกินเหล้า ใครที่มีรถมอเตอร์ไซค์ให้ยืม ใครที่อาศัยให้หาห้องพักล่วงหน้าได้

“กูลงมาแล้ว ข้างบนมันไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ แบตก็หมด ไฟฟ้าก็ไม่มี แล้วกูก็รำคาญมากด้วย”

เธอพับเสื้อผ้าใส่กระเป๋าทีละตัว ทีละตัว ทีละตัว…
“เอาสิ กูเอารถมอเตอร์ไซค์ มึงไปเช่าไว้ เอาห้องด้วย”
เธอพูดขึ้น
“มึงรำคาญกูมากเลยเหรอ”
“มึงจะจัดทำไมนักเหรอ กระเป๋ามึงน่ะ”
“แค่จัดกระเป๋ากูก็มีความผิดเหรอ”
“มันไม่ผืดหรอก แต่กูอยากรู้ ว่ามึงทำเพื่ออะไร มึงมีเหตุผลไหม ?”
“ไม่มี” เธอว่า

ผมเลี่ยงเดินไปทางอื่น พูดกับเพื่อนทางโทรศัพท์ หยุดยืนอยู่ข้างนายสถานีที่ทำเป็นไม่สนใจเรา นายสถานีมองไปที่รางรถไฟ เขาเหยียดตัว หาวหวอด

“กูแค่หงุดหงิด รถไฟมันมาช้าว่ะ นี่ครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่มาอีด กูไม่มีกาแฟจะกินด้วย บุหรี่ก็กากๆ โคตรเหี้ยเลย แล้วแม่งนั่งจัดกระเป๋าครึ่งชั่วโมงมาแล้ว”

นายสถานีหัวเราะเหมือนได้ยินเรื่องขบขัน เมื่อนึกขึ้นได้ เขาก็เงียบ สายตามองนิ่งไปที่ปลายรางรถไฟ ผมวางสาย เดินไปที่เธอ หยิบเสื้อของเธอขึ้นมาถือไว้ พับแขนสองข้างเข้า พยายามพับทบให้เป็นรูปสี่เหลี่ยม

“ไม่ต้อง” เธอบอก
“ทำไมล่ะ” ผมถาม
“มึงไปคอยรถไฟต่อไป”
“กูอยากช่วย”

เธอส่ายหน้า ผมเข้าใจ คาบบุหรี่ไว้มวนแล้วจุดสูบ มันจืดสนิทเหมือนสูบกระดาษเปล่าๆ ผมมองยี่ห้อบนซอง คำเตือนเรื่องการห้ามสูบบุหรี่

เธอจัดกระเป๋าจนเสร็จ รูดซิปปิด สายตาเหม่อมองไปทางเดียวกับนายสถานี นายสถานียกมือขึ้นบีบไหล่ของเขา กระชับปีกหมวก มองไปข้างหน้า ชายหญิงคู่หนึ่งมาถึงสถานีเหมือนรู้เวลา เขามองนาฬิกาข้อมือถูกๆ แล้วมองไปทางเดียวกับนายสถานี ผมเดินไปที่ร้านค้าห้องแถวไม้

“มีเบียร์กินไหม”
หญิงแก่ลุกจากเตียงนอนทางด้านหลัง เดินไปที่ตู้เย็น หยิบเบียร์กระป๋องออกมา
“มียี่ห้ออื่นไหม”

เธอส่ายหน้า แต่ผมตกลงใจ จ่ายเงินแล้วเดินกลับมาสถานี มีคนคอยรถไฟอยู่ห้าคน รวมทั้งนายสถานี ทุกคนมองไปทางเดียวกัน ด้วยความหวังว่ารถไฟจะโผล่มา ผมเปิดห่วงกระป๋อง

“กินไหม”
เธอส่ายหน้าเฉย

ผมไม่เข้าใจว่าทำไมอุทยานแห่งชาติไม่มีอาหารและเบียร์ในช่วงที่ไม่ใช่วันหยุดเทศกาล ทำไมไม่มีคนเดินเร่ขายเบียร์กระป๋องเหมือนอุทยานแห่งชาติอื่นๆ ที่คนนิยมไปเที่ยว

“ทำไมไม่กินล่ะ”
“กำลังคอยรถไฟอยู่” เธอว่า
“แล้วมึงไม่จัดกระเป๋าแล้วเหรอ”
เธอมองหน้าผมแบบไม่รู้จะพูดอะไร
“ทำไมมึงไม่จัดกระเป๋าอีก”
“กูจะคอยรถไฟ”
“มึงเพิ่งจะคอยตอนนี้ เรอะ”

นายสถานีหันมามอง บนใบหน้ามีแววยิ้มเหมือนเป็นเรื่องตลกขบขัน ก่อนจะหันไปมองที่รางรถไฟ ชายที่มากับหญิงคนนั้นกางหนังสือดาราอ่านเรื่องย่อละคร ชี้ให้หญิงสาวดูข้อความพาดบนกระดาษที่เต็มไปด้วยอักษร หน้าปกเป็นรูปนักแสดงในความนิยมของคนที่ชื่นชอบการดูโทรทัศน์ ทั้งสองมีสัมภาระเป็นกระเป๋าผ้าค่อนข้างเก่า

ผมมองไปยอดภูเขาที่เมฆยังเรี่ยดอยอยู่ ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์เข้าจอดข้างสถานี

“รถเสียน่ะ”

ชายคนนั้นว่า เขาสวมเสื้อยืด กางเกงยีนส์พับถึงหน้าแข้ง รองเท้าฟองน้ำกรังด้วยก้อนโคลน

“ถ้าซ่อมไม่ได้ ต้องรอหัวรถจักรจากทางเหนือลงมาก่อน”

นายสถานีร้องถาม
“นานไหม”
“ถ้ารอซ่อมสักชั่วโมง ถ้ารอหัวมาต่อก็สักหกชั่วโมง”

นายสถานีไหล่ตก เดินเข้าไปในอาคารไม้ ชายหญิงทั้งสองหอบสัมภาระกลับบ้าน ผมมองหน้าเธอ เราต่างไม่รู้ว่าควรทำยังไง ผมเดินตามนายสถานีเข้าไปในห้องทำงานของเขา เสียงโทรทัศน์ดังระงม

“รถไฟจะมาเมื่อไรเหรอ”
“ไม่รู้”

เขาประสานสองมือไว้ที่ท้ายทอย เอนหลัง ละสายตาจากโทรทัศน์
“อย่างเขาบอก ถ้าซ่อมได้ก็ชั่วโมง ไม่งั้นก็รอเปลี่ยนหัวรถจักร สักห้าชั่วโมงมั้ง”

“แล้วผมจะทำไง”
“คอย”

ผมเดินออกมาจากห้องทำงานของเขา เดินไปหาเธอที่กำลังเริ่มต้นลงมือจัดกระเป๋าอีกครั้ง เธอนั่งบนม้านั่งแบบสถานีรถไฟ ผมยาวลงมาถึงไหล่ เอียงคอข้างหนึ่ง พับเสื้อผ้าเหล่านั้นใส่กระเป๋าทีละชิ้น ทีละชิ้น ผมเดินไปทางห้องแถวไม้ แสงบ่ายสาดเข้ามาในร้าน

“มีรถไหม”
หญิงแก่เลิกคิ้ว
“รถปิคอัพก็ได้ ผมจะเหมาเข้าจังหวัด”
หญิงแก่ยิ้ม
“ทำไมล่ะ”
“รถไฟเสีย อาจจะต้องคอยหกชั่วโมง”
“อ๋อ”

หญิงแก่ลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์มือถือ คว้าแว่นสายตาขุ่นมัวมาสวม มองดูหมายเลขในโทรศัพท์ แกใช้นิ้วมือเหี่ยวย่นกดปุ่มเล็กๆ บนมือถือให้รายชื่อในโทรศัพท์เลื่อนขึ้นทีละหมายเลข ทีละหมายเลข การกระทำนั้นช้าจนน่ารำคาญ

“เหมารถไปเท่าไรเหรอ ผมจะเข้าจังหวัด”
“แพง”
“แล้วมันเท่าไร”
“ต้องถามเขาก่อน”
“งั้นช่วยถามให้ที”

ผมเดินไปหยิบเบียร์กระป๋องจากตู้เย็นทางด้านหลังของร้าน ยกมันขึ้นให้หญิงแก่เห็น แกพยักหน้า ผมหงุดหงิดมาก มองไปทั่วห้องแถวไม้นั้น ป้ายชื่อสถานีรถไฟเก่าวางอยู่บนหิ้ง รูปนายสถานีคนก่อน ตัวเลขปีชาตะ มรณะ เป็นปีพุทธศักราช รูปถ่ายครอบครัวติดเกะกะบนฝาบ้าน ผมยกเบียร์ขึ้นซด มองหญิงแก่ที่เชื่องช้าและงกเงิ่น

“ชื่ออะไร จำไม่ได้” แกว่า
ผมรู้สึกหงุดหงิดจนต้องถาม
“ได้เรื่องไหมน่ะ”
“เดี๋ยว ไปถามร้านข้างๆ ให้”

การลุกขึ้นยืนของหญิงแก่เป็นสิ่งที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า มันช้ามาก ช้าจนผมคิดว่าตัวเองไม่เคยเห็นอะไรที่ช้าขนาดนั้นมาก่อน แกลุกขึ้นแล้วค่อยๆ ก้าวเท้าในจังหวะที่เชื่องช้าเช่นเดียวกัน ท่าเดินของแกเหมือนท่าเดินของคนที่ขาสองข้างยาวไม่เท่ากัน อาจเป็นมาแต่กำเนิดหรือเพิ่งเป็นเพราะอุบัติเหตุ แกอาจใช้เวลาประมาณสักหกชั่วโมง เพื่อเดินออกจากร้านไปถามหมายเลขโทรศัพท์กับเจ้าของร้านของแห้งที่อยู่ติดกัน

ผมเดินออกมาจากร้าน มองดูเธอที่หายไป เหลือแต่กระเป๋าเสื้อผ้าใบเดียวเท่านั้น หญิงแก่เดินกลับมาที่ผม เธอส่งหมายเลขโทรศัพท์ให้ เป็นหมายเลขของชาวบ้านที่มีอาชีพขับรถรับส่งนักท่องเที่ยว เราต้องเดินไปอีกสองกิโลเมตรเพื่อถึงถนน เธอออกจากห้องน้ำ ผมจ่ายค่าเบียร์กับขนมกรุบกรอบ แบกกระเป๋าที่ค่อนข้างมีน้ำหนักขึ้นบนแผ่นหลัง เธอเดินตัวเปล่าและเริ่มบ่นถึงเส้นทางที่เป็นโคลนเลน

ผมบอกให้เธอถอดรองเท้าออก เอามาใส่ในกระเป๋าที่ผมสะพายอยู่

“แล้วไม่ต้องเสือกจัดกระเป๋าใหม่อีกล่ะมึง”
เธอหัวเราะ
“รองเท้ามันเลอะโคลนนะ”

คนเราเดินช้าลงเมื่อต้องเดินบนดินโคลน เมื่อเหยียบเท้าลงก้าวหนึ่ง ขาของเราจมลงไปสักครึ่งแข้ง มันไม่มีเหตุผลที่จะต้องรีบร้อนอีก ผมผิวปาก สบายใจ รู้สึกดี เราเดินมาได้สักประมาณสองร้อยเมตร

ผมได้ยินเสียงหวูดรถไฟดังมาแต่ไกล……

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *