กาสร วงศ์ชมพูคอลัมนิสต์

รถหลวงเดลิเวอรี่ : กาสร วงษ์ชมพู

ปกติ ข้าราชการเวลาไปไหนมาไหนในกิจการงานราชการ ก็จำต้องขอใช้รถหลวง ซึ่งจะมีระบบการขอใช้รถล่วงหน้า สมัยก่อน จะมีการจัดซื้อรถเป็นของหน่วยงาน และจ้างพนักงานขับรถเป็นลูกจ้างประจำ ซึ่งระยะหลังได้ปรับเปลี่ยนเป็นการเช่ารถเป็นรายปีแทน เพื่อลดภาระการดูแลซ่อมบำรุงที่มักเสียค่าใช้จ่ายสูง ส่วนพนักงานขับรถก็ใช้พนักงานจ้างเหมาเป็นรายเดือน ต่อสัญญาปีต่อปี ลดค่าใช้จ่ายจำพวกสวัสดิการไปได้อีกจำนวนหนึ่ง

เมื่อไม่นานมานี้ ข้าราชการต่างหนาวๆ ร้อนๆ กันเป็นแถบจากข่าวกรณีที่ นางนุสรา แสนนาม ผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จังหวัดพิจิตร ฐานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 พิพากษาจำคุก 5 ปี กรณีนำรถหลวงไปรับส่งจากที่พักถึงที่ทำงานในวันจันทร์ถึงศุกร์ และทำธุระส่วนตัวในวันหยุดราชการ ขณะดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสถานพินิจฯจังหวัดเพชรบูรณ์ ในข่าวระบุว่า ผู้ฟ้องร้องและให้ข้อมูลไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพนักงานขับรถ 2 คนนั่นเอง ยังไม่นับกรณีข่าวตำรวจนายหนึ่งในจังหวัดศรีสะเกษขับรถหลวงไปรับลูกชายวัย 5 ขวบที่โรงเรียนจนมีผู้พบเห็นแล้วนำมาโพสต์ประจานทางโซเชียลมีเดีย เมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งนายตำรวจได้ออกมาขอโทษพร้อมอธิบายว่า ปกติ หน้าที่รับส่งลูกจะเป็นของภรรยา แต่วันเกิดเหตุ ภรรยาติดธุระ จึงโทรเรียกให้ตนรับลูกแทน และตนเห็นว่าต้องไปราชการผ่านทางโรงเรียนอยู่แล้วจึงแวะรับ ไม่คิดว่าจะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ขนาดนี้ ลูกชายตนก็เครียดมากที่ถูกเพื่อนล้อ ตกเป็นจำเลยสังคม เรื่องก็จบลงที่นายตำรวจผู้นั้นถูกผู้บังคับบัญชาเรียกไปตักเตือน ส่วนที่โรงเรียนก็มีการออกมาชี้แจงให้นักเรียนทุกคนรับทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อให้เด็กทุกคนเข้าใจ เรียกว่า กว่าจะจบเรื่องได้ก็กลายเป็นข่าวใหญ่โตไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม บรรดาข้าราชการทั้งหลายได้ฟังข่าวเหล่านี้ ต่างพากันระมัดระวังตัวกันมากเป็นพิเศษ เพราะที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า การใช้รถหลวงนั้นเป็นกรณีที่ธรรมดามาก โดยเฉพาะบุคลากรระดับบริหารที่มีค่ารถประจำตำแหน่ง แต่พอถึงเวลาไปงานราชการหรือไปประชุมก็นั่งรถหลวงไปกับเจ้าหน้าที่นั่นแหละ นัยว่า ไหนๆ ก็ไปอยู่แล้ว

จะมาขับรถประจำตำแหน่งอีกทำไมให้เปลืองน้ำมัน ช่วยหลวงประหยัดอีกต่างหาก ผู้บริหารบางคนก็ให้คนขับรถรับส่งจากบ้านไปสำนักงาน หรือไปตามงานต่างๆ จนกลายเป็นความเคยชิน นอกจากรถแล้ว ของหลวงอีกจำนวนมากที่ถูกใช้ปนเปกันไปราวกับเป็นของส่วนรวมที่ใครๆ จะหยิบฉวยไปใช้เมื่อไร เพื่อการใดก็ได้ ทั้งกระดาษ ปากกา ดินสอ กรรไกร อุปกรณ์สำนักงาน เรื่อยไปจนถึงการใช้เครื่องโทรศัพท์และการถ่ายเอกสาร บางคนถ่ายสำเนาทำรายงานส่งโรงเรียนให้ลูก เย็บเล่มอย่างดีสวยกว่าไปทำที่ร้านเสียอีก ส่วนแรงงานก็ใช้เด็กในกองนั่นแหละเป็นคนทำ เรียกว่า ใช้ทั้งวัสดุ อุปกรณ์ ยันแรงงานคนเลยทีเดียว ลุกลามไปถึงการทำโอที ทั้งที่ในเวลาทำงานปกติ นั่งเล่นมือถือ เฟซบุคไปวันๆ จนงานไม่เสร็จต้องมาทำงานนอกเวลาราชการ แต่เบิกค่าโอที นี่แหละหนอ คงไม่สามารถจะเบี่ยงเบนไปเรื่องอื่นใดได้นอกเสียจากคำว่า “ขาดจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี”

มองในมุมกลับ หากคิดว่า ยังมีอีกหลายต่อหลายกรณีที่งานราชการบางอย่างที่เกิดกะทันหัน ไม่สามารถขอรถได้ทันท่วงที หรือการติดต่อราชการเพื่อความรวดเร็วในการประสานงาน ข้าราชการหลายคนก็ใช้รถยนต์ส่วนตัว โทรศัพท์มือถือส่วนตัวในการติดต่อโดยไม่สามารถเบิกคิดค่าใช้จ่ายได้ หรือแม้แต่การหอบงานไปทำที่บ้านในช่วงวันหยุดโดยไม่เบิกค่าโอทีเช่นกัน เรียกว่า เสียสละเงิน เวลาส่วนตัวเพื่อใช้ในงานราชการมานักต่อนัก ส่วนใครจะเห็นหรือไม่เห็น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทั้งนี้ ก็อยู่ที่ความรับผิดชอบต่องานเป็นสำคัญ

สิ่งเหล่านี้ ผู้บังคับบัญชาจึงสำคัญมาก ทั้งในเรื่องการออกนโยบายที่อำนวยความสะดวกในการทำงานแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา และการประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดีในการทำงาน เช่นนี้ บุคลากรในหน่วยงานก็จะทำตามอย่าง และภาคภูมิใจที่ได้เสียสละเพื่องานราชการอย่างที่ข้าราชการทุกคนพึงกระทำ !

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *