คีรีวง…2000
ผมเพิ่งกลับมาจากนครศรีธรรมราชครับ ตามสไตล์ นั่งเครื่องบินต่อรถโค้ชไปถนนพัฒนาการคูขวาง นัดทำงานสัมภาษณ์ท่านพี่ประธานกลุ่ม Strong นครศรีฯ เรื่องงานนั้นทำไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็เสร็จ
แต่เรื่องเที่ยว… อยู่นครศรีธรรมราชต่อถึง 5 วัน
โชคดีครับ ได้ไปเที่ยวบ้านคีรีวง ที่อำเภอลานสกา นั่งรถสองแถวจากตัวเมือง ใกล้ๆ ลานคนเมืองนครศรีฯ ฝั่งตรงข้ามเจดีย์ยักษ์ เสียค่ารถแค่ 25 บาท
มาถึงหมู่บ้านที่ “อากาศดีที่สุดในประเทศไทย”
หมู่บ้านในหุบเขาแบบนี้ เคยเป็นพื้นที่อ่อนไหวในเรื่องฝ่ายซ้ายฝ่ายขวา เรื่องสังคมนิยม เรื่องคอมมิวนิสต์ ในอดีตเคยประกาศเคอร์ฟิว ห้ามชาวหมู่บ้านขึ้นภูเขา ขอความร่วมมือให้อยู่แต่ภายในหมู่บ้าน มีคนเขาเล่าให้ฟังว่าเฮลิคอปเตอร์บินข้ามหัวข้ามหูวันละหลายๆ เที่ยว
บินไปปราบคอมมิวนิสต์…
โชคดีอีกซ้ำ มีพี่ชายเป็นคนพื้นที่คีรีวง ชวนขึ้นภูเขา ไปดูพี่ป้าน้าอาชาวคีรีวงเรี่ยไรเงินซื้อปูนซื้อทราย ร่วมแรงร่วมใจขยายถนนเอง สำหรับรองรับการขนมังคุดออกจากสวนตั้งแต่ผลไม้ยังไม่สุก จึงได้เห็นสวนมังคุดบนภูเขา รวมไปถึงสวนทุเรียนอีกด้วย
มังคุดภูเขาขายได้ราคาครับ เขาจึงนิยมปลูกกัน ถึงหน้าผลไม้ขายได้กิโลกรัมละร้อยกว่า เพราะมีขนาดลูกใหญ่ ที่จริงรสชาติสู้มังคุดบ้านไม่ได้ แต่พ่อค้าเขาซื้อไปส่งออก ลูกใหญ่ขายต่างประเทศได้รับความนิยมมากกว่า
ดังนั้น คนไทยภูมิใจว่าได้กินมังคุดที่อร่อยกว่าคนฝรั่ง
แต่ปัญหาที่จะเล่า มันเป็นเรื่องเกิดขึ้นมานานแล้ว…
ตั้งแต่สมัยนายหัวชวนเป็นนายกรัฐมนตรีของชาติไทย สมัยนั้นพรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายจะอัพเกรดใบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ของประชาชนที่เป็นเกษตรกร ให้กลายเป็นโฉนดที่ดินทั้งหมด ปรากฏว่ารัฐบาลยังไม่ทันได้ทำ เกิดมี “ไอ้หน้ามืด” ออกหลอกหลอนผู้คน อวดอ้างว่ามาจากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นคนของรัฐบาล นายหัวชวนส่งมาเก็บสตางค์ค่าเปลี่ยน สค.1 เป็นโฉนดที่ดิน รายละ 2,000 บาท ชาวบ้านหลงเชื่อกันมาก เพราะใครๆ ก็อยากจะได้แต่โฉนดที่ดิน ซึ่งมันก็ยุคเดียวกับ สปก – 401 ที่วุ่นๆ อยู่แต่เรื่องที่ดินของเกษตรกรนั่นแหละ
ตั้งแต่วันนั้นจนป่านนี้ ชาวคีรีวงยังรอคอยโฉนดที่ดิน ส่วนไอ้หน้ามืด เก็บเงินแล้วก็หายสาบสูญไปตั้งแต่วันนั้น
ไม่เคยกลับมาที่บ้านคีรีวงอีกเลย.