เกรียงไกร ไทยอ่อน นักรบย่อมมีบาดแผล
“เกรียงไกร ไทยอ่อน” เมื่อเอ่ยชื่อนี้ หลายคนคงนึกถึงภาพชายวัยกลางคนฝีปากกล้าเว้าอีสาน ผู้หาญท้าชนด่านตำรวจจนถูกตั้งฉายาว่า “จเรโป๊งเหน่ง” ทีมงานนิตยสารโกงเห็นมากกว่าการกล้าชนด่านลอยของเขา เพราะสิ่งที่ทำส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานอย่างโปร่งใส จึงติดต่อขอสัมภาษณ์เพื่อนำเรื่องราวที่มากกว่าการเผชิญด่านลอยของเกรียงไกร ไทยอ่อน มาบอกเล่ากับผู้อ่าน
เรานัดเกรียงไกร ไทยอ่อน ที่จังหวัดนครสวรรค์ เป็นเพราะเกรียงไกรมีธุระด้านคดี ยื่นฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท การนัดพบนักรบด่านเถื่อนครั้งนี้ ถือเป็นจังหวะดีของเรา เพราะได้ติดตามการตรวจสอบด่านตรวจโดยคุณเกรียงไกรด้วย เราขอเท้าความจุดเริ่มต้นของฉายา “จเรโป๊งเหน่ง” กันก่อน
จุดเริ่มต้นของนักรบด่านเถื่อน เริ่มจากวันที่ 30 กันยายน 2559 ณ ด่านตรวจตำบลนาดี เส้นทางถนนอุดร-เลย เกรียงไกร ไทยอ่อน ถูกเรียกปรับฐานบรรทุกไม้กระดานไม้อัดยื่นเกินตัวรถ ทั้งๆ ที่ยื่นออกมาเพียง 57 เซ็นติเมตร ตำรวจแจ้งโทษปรับ 400 บาท แต่ลดให้เหลือ 200 เมื่อเขาขอให้ออกใบสั่ง กลับถูกเพิ่มเป็น 500 บาท จึงรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล และด้วยมีอาชีพทำสวนมะนาว สวนไผ่ อีกทั้งทำคลิป รายการเว้าจาภาษาเกษตร แนะนำการทำเกษตรในยูทูปอยู่แล้ว จึงได้ทำการไลฟ์สดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนนี้เองจึงได้เห็นว่าด่านไม่มีตำรวจผู้ควบคุม เมื่อเข้าไปถามหา กลับถูกบ่ายเบี่ยงว่าไปทำธุระ ราว 30 นาทีร้อยเวรจึงมา และเจรจากันจบลงด้วยดี แต่ตอนเย็นผู้กำกับการกลับออกรายการข่าวทางโทรทัศน์ว่าเกรียงไกรดูไม่ละเอียด จริงๆ แล้วมีร้อยเวรควบคุมด่านอยู่ (ทั้งๆ ที่ไม่มี) เขาจึงตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ ในวันที่ 3 ตุลาคม ยื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนการตั้งด่านครั้งนั้นว่าถูกต้องหรือไม่
“หลังจากไลฟ์สดที่ด่านอุดร ปรากฏว่ามีกระแส หาว่าจะเป็นมวยล้มต้มคนดู อย่างนี้ไม่ได้แล้ว ผมตัดสินใจ วันที่ 3 เข้ากรุงเทพฯ ไปยื่นหนังสือ ขากลับมาปรากฏว่ามีคนแอดเฟซบุ๊คเข้ามาเยอะมาก จนเต็ม ก็เลยตั้งกลุ่ม ‘เกรียงไกรไทยอ่อนและเพื่อน’ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ‘นักรบด่านเถื่อน’ หลังจากนั้นก็ตั้งเฟซบุ๊คแฟนเพจ และช่องยูทูปครับ”
กรณีที่เกิดขึ้นนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณเกรียงไกรหันมาเปิดโปงเรื่องการทุจริตหรือเปล่า
ที่จริงผมทำมาก่อนหน้านั้นครับ แต่ก่อนผมเคยเป็นนักข่าว และเคยทำธุรกิจส่วนตัวที่กรุงเทพฯ แล้วกลับมาทำเกษตรอยู่บ้าน เมื่อ พ.ศ. 2552 มีวันหนึ่งได้ไปทราบเรื่องราวภายในหมู่บ้านหนองโดนว่าโรงเรียนมีกองทุนอาหารกลางวันเด็ก แต่เด็กไม่มีอาหารกลางวันเหมือนอย่างเคยแล้ว เนื่องจากผู้อำนวยการและครูผู้ดูแล เบิกเงินเอาไปใช้จ่ายหมด เริ่มแรกเลยผมไปบอกเขาว่าให้เอาเงินมาคืนเสีย ก็พยายามทำจากเบาสุดโดยการเตือน แต่เขาไม่ฟัง แถมโยนคำถามกลับมาว่า ผมเป็นใคร มีอำนาจอะไร
เมื่อเจอคำถามแบบนี้ คุณเกรียงไกรทำอย่างไรต่อไป
ผมจึงไปร้องเรียนต่อ ปปช. เขาก็รับปากว่าจะเอาเงินมาคืน แต่ไม่เอาเงินมาคืนสักที ผมก็เลยไปถอนเรื่อง แล้วไปแจ้งความที่พนักงานสอบสวน สภ. โนนสัก ให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ทั้งสองท่าน กล่าวโดยสรุปจากการที่แจ้ง ประมาณ 5 ปี จบที่ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกคนละ 15 ปี ปัจจุบันติดคุกยังไม่ออก เริ่มต้นจากเงินประมาณ 65,000 บาทเอง และนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ผมได้เข้ามาทำเรื่องนี้
ก็มีคนจำนวนหนึ่งบอกว่าคุณเกรียงไกรด่าตำรวจแล้วดัง ก็เลยเลือกด่าตำรวจมาตลอด
ผมไม่ได้ด่านะ ผมอยากให้ตำรวจเปิดโลกทัศน์ ยอมรับว่าสิ่งที่ทำมันผิดหรือเปล่า ถ้าบอกว่าผิดเล็กน้อย แค่เพียงเล็กน้อย เอ้า! แล้วทีไฟเบรคขาด คุณยังจับเลย มันก็เล็กน้อย เคยตักเตือนไหม อีกอย่างหนึ่ง เนื่องจากสิ่งที่ผมทำ มันทำให้สิ่งที่เขาจะได้รับผลประโยชน์หายไป ประชาชนรู้กฎหมายมากขึ้น เขาก็ทำงานได้ยากขึ้น
หลังจากที่ทำการตรวจสอบเรื่องนี้ แล้วได้ผลเป็นอย่างไรบ้างครับ
สังเกตไหม เมื่อก่อนไม่มีพนักงานสืบสวน ตอนนี้มี เมื่อก่อนด่านไม่มีคำว่าหยุดตรวจ ไม่มีชื่อผู้บังคับด่าน ทุกวันนี้ต้องมี ซึ่งมันอยู่ในกระบวนการทำงาน เริ่มอยู่ในกรอบ เริ่มอยู่ในระเบียบ จากเดิมที่จะตั้งด่านเมื่อไหร่ อย่างไรก็ได้ ทางโค้งก็ตั้ง ไฟแดงก็ตั้ง แต่ทุกวันนี้ต้องระวังมากขึ้น เพราะผมทำให้คนรู้กฏหมายมากขึ้น ไม่ใช่เพียงต่อต้านด่านเถื่อน
หลังจากนี้จะมีขั้นต่อไปสำหรับการทำงานนี้ด้วย
ผมกำลังจะตั้งมูลนิธิต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการจดทะเบียน ได้ทุนจดทะเบียนจากคนทั่วประเทศแล้วประมาณ 3 แสนกว่าบาท เหลือขั้นตอนยื่นหนังสือเท่านั้น
ทำไมต้องตั้งเป็นมูลนิธิครับ
ตอนนี้ผมมองว่าในกระบวนการยุติธรรม สังคมเราผู้คนยังขาดความกล้า เขายังต้องการคนมาช่วย เช่น ออกไปเจอด่านถูกจับเรียกเงิน ก็ยังไม่มีความกล้าที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ ซึ่งผมกำลังจะสร้างบริบทใหม่ของสังคมโดยการเป็นแบบอย่างและทำผ่านมูลนิธิ
อยากให้คุณเกรียงไกรยกตัวอย่าง
ผมยกตัวอย่าง เช่น การตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดในร่างกาย เจ้าหน้าที่ที่ตรวจได้ต้องมีบัตร 2 ชนิด อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ บัตร ปปส. กับบัตร ป.2 สีเหลือง ออกโดยผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด หลังจากที่แสดงบัตรแล้ว ต่อมาต้องบันทึกข้อมูลเบื้องต้นของผู้ที่ได้รับการตรวจลงแบบบันทึกข้อมูลเบื้องต้น หรือ ต.1 และถ้าหากผลตรวจเป็นบวก ต้องบันทึกลงในแบบบันทึก ต.2 กล่าวมาทั้งหมด ตำรวจไม่ทำสักอย่าง ทีนี้จะทำอย่างไรให้เขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันไม่ถูก ผมก็เลยมาต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของทุกคน จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อซึ่งเจ้าหน้าที่ก็บอกว่ากูมีอำนาจ กูใส่ชุดตำรวจ กูจะตรวจใครก็ได้ จริงๆ แล้วมันไม่ใช่
คือที่จริงเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย
ใช่ กฎหมายของประเทศไทยให้ความสำคัญเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน รัฐบาลให้ความสำคัญในเชิงนโยบาย แต่วิธีปฏิบัติกลับหน้าไหว้หลังหลอก ตรงนี้แหละที่ผมลุกขึ้นมาสู้ เพราะคนอีกจำนวนมากเขาเข้าไม่ถึงกระบวนการยุติธรรม แม้ว่าหน่วยงานราชการพยายามตั้งศูนย์ผดุงธรรม ศูนย์ยุติธรรม ขึ้นมา แต่ยังมีประชาชนอีกมากที่ไม่สามารถเข้าถึง หรือเข้าใช้ไม่ได้ แต่กลับมาพึ่งผม ซึ่งเป็นเอกชน
ทำไมเขาถึงเลือกมาพึ่งคุณเกรียงไกร
อย่างแรก มาหาผมไม่ต้องเสียเงินเสียทอง ผมไม่เคยเรียกร้องเอาเงินจากใคร ไม่เคยตั้งตู้รับบริจาค และการทำงานของผมเป็นเชิงรุก ส่วนใหญ่ราชการทุกภาคส่วนจะรู้จัผมก เวลาผมไปติดต่ออะไร เขาก็จะให้ความสำคัญ เพราะไม่ใช่ตาสีตาสา ที่ไปแล้วต้องนั่งรอนาน เช่น คดียิงกันรายหนึ่ง รู้ผู้ยิง เห็นผู้ยิง แต่ข้อกฎหมายขาดหลักฐาน ไม่สามารถเอาผิดได้ สู้ถึงศาลฎีกา ถูกยกฟ้อง ถ้าคุณเป็นพ่อเป็นแม่หรือเป็นลูกของผู้ถูกยิง จะมีความรู้สึกอย่างไร ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง เขาจึงมาหาผม แต่มาแบบไม่ค่อยหวังเท่าไหร่ แต่ก็มาเผื่อว่าจะช่วยได้ สุดท้ายผมช่วยเขาได้ โดยพาไปหา DSI แจ้งเรื่องของเขา ให้ DSI รับรื้อคดี นี่ไงครับ จากเขาไม่ศรัทธากระบวนการยุติธรรม เขากลับมาศรัทธาอีกครั้ง นัยหนึ่งไม่ใช่ผมช่วยชาวบ้านอย่างเดียว ผมช่วยหน่วยงานตำรวจด้วย
หลายคนที่มาขอความช่วยเหลือจากคุณเกรียงไกร บางคนก็มาจากที่ไกลๆ
แต่ละคนที่มาหาผมนะ จากใต้สุดก็นราธิวาส อีสานก็จากสุรินทร์ จากเขมราฐ ทางเหนือก็เชียงใหม่ ทั้งนี้ผมไม่สามารถช่วยได้ทุกคน แต่คนที่มาหาผม 99% มาแล้วประทับใจ
กล้าชนแบบนี้ คุณเกรียงไกรมีใครหนุนหลังไหม
ไม่มี ผมไปคนเดียว ไม่มีแบ็คอัพ ผมไม่เคยขอความช่วยเหลือจากใคร ทุกเรื่องถ้าหลักฐานชัดเจนผมชน ทำไมผมถึงกล้าชน ผมอายุ 50 กว่าแล้ว ผ่านเรื่องราวมาเยอะ
มีคนเคยเสนอเงินให้เป็นล้านๆ ด้วย
ถ้าผมเป็นคนรับเงินนะ จบไปนานแล้ว มีคนเสนอเงินให้ผมอย่างต่ำ 1 ล้านบาทต่อ 1 คดี มี 10 คดี ผมได้เป็น 10 ล้านอยู่สบายแล้ว แต่ผมจะไปยืนในสังคมได้อย่างไร เงินทองกินมีวันหมด แต่ชื่อเสียงไม่มีวันหมด
ทำไมคุณเกรียงไกรถึงไม่กลัว
สิ่งที่ทำให้ผมไม่กลัวคืออะไร ผมคิดนะ หนึ่ง ร่างกายผมมอบให้สภากาชาด ผมบริจาคหมดแล้ว สอง ถ้าตายแล้ว คนจะต้องมางานศพผมเยอะ ผมก็เลยไม่กลัวตาย มันทำให้ผมมีกำลังใจ อีกอย่างเพื่อนฝูงผมตายกันเยอะแล้ว บางคน 40 ก็ตายแล้ว เพื่อนผมบางคนไม่ได้แก่ตายด้วยซ้ำ ผมมาถึงขนาดนี้ได้ ถือว่าคุ้มแล้ว เพราะทำทุกอย่างที่อยากทำ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่ทำ คือผมไม่เคยด่าคนดี มีคนปกติที่ไหนไปด่าคนดี ไม่มี! มีแต่ผมไปด่าคนชั่ว
เคยมีคนเสนอเงิน แล้วมีคนเคยขู่ฆ่าไหม
เยอะ เมื่อกี้แค่ไปกินก๋วยเตี๋ยว เขาก็เอาผมมาด่าแล้ว ทุกครั้งที่ผมเดินทางไปไหน จะมีคนคอยจ้องตลอด ผมทำอะไรเป็นเป้าตลอด เพราะฉะนั้นผมจะทำอะไรผิดพลาดไม่ได้ มีคนจองกฐินผมเยอะ
แต่แฟนคลับก็เยอะ
เวลาผมไปไหนจะมีคนรู้จักผมมาก ผมมีแฟนคลับระดับหนึ่ง บางคนก็จะเลี้ยงข้าว แต่ผมไม่ค่อยได้ไปให้เลี้ยงข้าวหรอก เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
มีแฟนคลับเยอะขนาดนี้ เป็นอย่างไรบ้าง
เวลาผมไปไหน ผมก็จะไปคนเดียว แต่สิ่งที่ปลื้มคือ ไปอยู่ที่ไหนก็ช่าง จะมีคนมาขอถ่ายรูปผมตลอดเวลา อยู่ปั๊มน้ำมันก็มาขอถ่ายรูป แล้วจะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งมาช่วยเหลือค่าน้ำมัน คนละ 100-200 บาท ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขนาดรักดารา ชอบดารา เขายังไม่เคยเอาเงินให้ดาราเลย แต่ผมคนละ 100 บ้าง 50 บาทบ้าง เขาให้ผมด้วยใจ แล้วเวลานัดกัน เขาก็จะมีของฝากมาให้เยอะแยะไปหมด จึงมีความภาคภูมิใจมากๆ แล้วก็ตำรวจจำนวนมากที่อยากรู้จักผมนะ แต่ผมไม่ค่อยอยากรู้จักหรอก
ขอถามอีกครั้ง คุณเกรียงไกรมีใครหนุนไหม
ถ้าจะเอาคนที่หนุนอยู่เบื้องหลังให้ได้ ก็มีอดีตผู้พิพากษาครับ เขาช่วยเรื่องให้คำปรึกษา แล้วมีนายตำรวจอยู่ท่านหนึ่ง ซึ่งผมขอความรู้เกี่ยวกับจราจรเท่านั้นเอง ส่วนการขอความช่วยเหลืออื่นๆ ผมไม่ขอใครเลย เพราะว่าการขอความช่วยเหลือ มันจะกลายเป็นนิสัยติดตัว ขอได้แล้วก็จะขอไปเรื่อย คนอื่นก็จะพูดว่า อ๋อ! เกรียงไกรเหรอ? จ่ายเงินให้มันก็จบ แล้วสิ่งที่ผมทำมามันก็จะสูญสิ้น อีกคนหนึ่งก็คือ ทนายอานนท์ เชื้อสัตตบงกช นี่แหละเป็นขุนพล เคียงข้างผมเวลาสู้
เห็นบอกว่ามีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลเยอะมาก
ทุกอย่างที่ผมไปแจ้งความ เขาผิดหมด ถ้าเขาไม่ผิด ผมนี่แหละจะติดคุก ตอนนี้มีรออยู่ประมาณ 10 คดี และนับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากหลักฐานชัดเจน ผมมั่นใจว่า เขาต้องออกจากราชการแน่
ถ้ามองแค่ในสื่อโซเซียล เวลาอยู่ในด่านตรวจ คุณเกรียงไกรจะดูคล้ายคนกระโชกโฮกฮาก คนอื่นก็อยากจะเอาอย่าง อยากเป็นเกรียงไกร ไทยอ่อนบ้าง
หลายคนก็ทำ แต่ทำแล้วยืนระยะไม่ได้ เพราะพวกนี้มีแผล มีธุรกิจเกี่ยวกับการเดินรถทั้งนั้น พอตำรวจเจรจาหน่อยเขาก็เลิก คือพวกนี้ทำเพื่อเอาตัวรอด ส่วนผมไม่มีธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องการเดินรถ ผมก็เลยไม่สน แต่กระบวนการที่ผมทำ ผมไม่ได้บ้าที่จะไปหาเรื่องกับตำรวจ เวลาคุยกับจราจรผมไม่ใช่อย่างในคลิป เพราะเวลาคุยผมมีหลักการ อันไหนที่เขาตอบไม่ได้ ดูจะจนมุม ผมก็ไม่รุกจนเกินไป ผมรุกพอประมาณ เพราะเราไม่จำเป็นต้องฆ่าใครคนหนึ่งเพื่อความสะใจ แต่เราต้องทำและอธิบายให้เขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำไม่ถูกต้องอย่างไร
อย่างตอนที่เราตามไปที่ด่านตอนกลางวันนี้ ก็มีความบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ของการตั้งด่าน
อย่างป้ายตรวจที่ด่านเมื่อตอนกลางวัน เขาต้องตั้งให้เห็นชัดเจนบริเวณด้านหน้า ไม่ใช่ไปตั้งตรงไหนก็ได้ ระเบียบบอกชัดเจน ไม่ได้บอกว่าไปตั้งตรงไหนก็ได้ ซึ่งเขาทำไม่ถูก แต่ผมก็ไม่ได้รุกเขา เพียงแต่ชวนเขาอ่านระเบียบ และไปคุยกับผู้บังคับบัญชาที่สถานีตำรวจ ทำความเข้าใจกัน
การไปตรวจสอบด่าน มองว่ามันให้ผลอย่างไร
สิ่งเหล่านี้ผมมองว่าเป็นการทำให้เขา Active ทำให้เขารู้สึกว่า ถ้าผมมาอย่าผิดนะ
เวลาเข้าไปด่านตรวจ สิ่งแรกที่ทำคืออะไร
ก่อนผมจะเข้าด่านตรวจ ผมจะมองที่พนักงานสืบสวนก่อน ถ้ามีพิรุธผมจะเข้าตรงนั้นก่อน ถ้าไม่มีพิรุธอะไร ผมก็จะค่อยๆ หา แต่ผมจะพูดไปตามแบบฉบับของผม ส่วนตาก็จะมองหาว่าเขาผิดอะไร ซึ่งเราต้องมีพื้นความรู้ก่อน
ต้องมีเทคนิคเหมือนกัน
ในการเข้าด่านให้อยู่ในด่านได้นานๆ คืออย่าไปอวดรู้ แต่ถ้าอยากรู้อะไรให้ถาม เขาตอบมาใช่ หรือไม่ใช่ ไม่ต้องไปเถียง เพราะประชาชนคนดูจะเป็นผู้ตัดสินเองว่าตอบอย่างนี้ แถหรือเปล่า เราเพียงแค่ถามนำ อยากรู้อะไรก็หลอกล่อ ค่อยๆ ถามอ้อมไป อยากรู้อะไรให้ถามไปไกลๆ แล้วค่อยวกกลับมา ถามให้เหมือนสืบพยานในศาล คือคำถามเรามีอยู่นิดเดียว แต่ต้องถามไปให้หลงประเด็นซะก่อน นี่คือวิธีทำงานของผม
ถ้าเขาแรงใส่ล่ะ
ถ้าเกิดเขาแรงมา ผมก็จะแรงด้วย ถ้าเขาเย็นผมก็จะเย็นด้วย ผมสู้ได้ทุกรูปแบบ แรงมาก็แรงไป ก็ไม่ยอมเหมือนกัน แล้วคำว่าไม่ยอมของผมก็จะสู้จนด่านมันเลิกนั่นแหละ
ในการช่วยเหลือคนแบบที่ทำอยู่ตลอด นอกจากเป็นนักรบด่านเถื่อนแล้ว ก็ต้องเดินทาง ต้องมีค่าใช้จ่ายแน่ คุณเกรียงไกรใช้รายได้จากไหน
ก็ช่องยูทูปกับเฟซบุ๊คแฟนเพจ ผมก็ไม่ได้ตั้งใจหรอก แต่พอทำไปทำมา ทางยูทูปและเฟซบุ๊คก็แจ้งมาว่าช่องของคุณสามารถสร้างรายได้ ผมก็ไม่ได้ดูแลเองหรอก ให้น้องชายที่อยู่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเขาทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์มา 30 ปีแล้ว ช่วยดูแลให้
ผมมองว่าเงินจากคลิปวีดีโอ จะได้มากได้น้อยตรงนั้นไม่ใช่เป้าหมาย เป้าหมายคือความถูกต้อง แต่เงินมันเป็นผลพลอยได้ ซึ่งทั้งนี้ผมก็โดนโกงด้วยนะ เดือนล่าสุดนี้ไม่ได้เงินเพราะโดนแฮ็ก ทีแรกผมก็ไม่รู้ว่าทำไมไม่ได้เงิน ไปๆ มาๆ ผมว่าโดนแฮ็กโดยการเจาะเข้ามาเปลี่ยนหมายเลขบัญชีโอน แล้วก็ไปที่อื่นผมเพิ่งทราบ และตอนนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการ
วางเป้าหมายของการเป็นนักรบด่านเถื่อนไว้อย่างไร
ตอนนี้ผมกำลังสร้างนักรบด่านเถื่อน แต่ไม่ใช่แค่ใส่เสื้อนักรบด่านเถื่อนก็เป็นนักรบแล้ว นักรบด่านเถื่อนต้องศึกษาหาความรู้ก่อนที่จะลงไปไลฟ์สด ผมจะย้ำเสมอว่าคุณอย่าอวดรู้ เพราะตำรวจรับไม่ได้หรอก ถ้าคุณไม่รู้จริง เขาจะเถียงหัวชนฝา ฉะนั้นไม่ต้องไปเถียง ไม่ต้องไปอวดรู้ เอาแค่พองาม
ทั้งหมดนี้มันจะต้องไปถึงจุดไหนยังไง คุณเกรียงไกรจึงจะพอใจ และถือว่าเป็นเป้าหมายสูงสุด
เป้าหมายของผมคือเมื่อตั้งมูลนิธิฯ สำเร็จแล้ว ตัวมูลนิธิจะทำงานในรูปของคณะกรรมการ จะไม่เป็นคนใดคนหนึ่งจะสามารถต่อสู้เรื่องนี้ไปเรื่อย นั่นคือการประสบความสำเร็จของผมแล้ว รู้สึกภูมิใจที่สุดแล้วครับ.