เรื่องสั้นไมเคิ้ล เลียไฮ

ปีศาจบนดอย : ไมเคิ้ล เลียไฮ

ใครๆ ก็ว่าไอ้เฒ่าชะแลแก่ชราที่อาศัยอยู่บนยอดเนินเขาแห่งนั้นเป็นคนโง่เง่า มันขึ้นไปอาศัยปลูกเรือนอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ แห่งนั้นมาหลายปีดีดัก แทบจะกล่าวได้ว่ามันไม่เคยลงมาคบค้าสมาคมกับใครเสียด้วยซ้ำ และหากจะนับจำนวนครั้งที่มันพาสังขารร่วงโรยของตัวเองง่อนแง่นลงมาจากวิมานชั้นฟ้าของมัน ก็คงมีจำนวนครั้งไม่มากไปกว่าสิบหรอก

หากทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าพเจ้าใส่ใจแก่มันมากนัก และมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ข้าพเจ้าให้ความสนอกสนใจแก่ตาเฒ่าคร่ำครึที่ปิดกั้นตัวเองอยู่ในโลกแคบแห่งนั้นก็คือ สภาพผืนป่าที่รายล้อมกระท่อมโกโรโกโสของมัน ด้วยยอดเนินแห่งนั้นเต็มไปด้วยไม้ใหญ่หยัดยืนต้น กับปีกไม้ประดู่และตะแบกเนื้องามที่วางก่ายกองอยู่หน้ากระท่อมไม้คร่ำคร่าของตาเฒ่าคนนั้นต่างหาก ที่ดึงดูดความสนใจของข้าพเจ้า มากกว่าวิถีชีวิตพึ่งพาตัวเองแบบโง่ๆ ของมัน

ชาวบ้านบนพื้นราบหลายคนบอกแก่ข้าพเจ้าว่า ตาเฒ่าคนนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าความดื้อรั้นและไม่ลงรอยให้แก่ใคร เหตุการณ์เล็กน้อยที่แกขัดแย้งกับคนส่วนใหญ่ของหมู่บ้านตีนเขาแห่งนี้ ได้พาชีวิตของแกให้ปลิวถลาขึ้นไปสิงสถิตอยู่บนยอดดอยอย่างโดดเดี่ยว นานวันเข้า เรื่องราวของแกก็กลายเป็นความหลงลืมของชาวบ้าน หากจะยังเหลือสักหน่อยก็เป็นตำนานเล่าขานเกี่ยวกับวิญญาณผีปอบที่สิงสู่อยู่ในร่างกายของแกนั้นล่ะ ที่ยังนำมาสร้างความหวาดกลัวให้แก่เด็กๆ ในหมู่บ้านได้

ข้าพเจ้าเป็นคนสมัยใหม่ที่มักจะคำนึงถึงผลกำไรทางการค้าเนื้อไม้อยู่เป็นนิจ ดังนั้นจึงไม่เคยคิดเชื่อเรื่องราวของภูตผีวิญญาณในมิติไหนๆ ทั้งสิ้น เรื่องราวเหนือธรรมชาติเพียงอย่างเดียวที่ข้าพเจ้าเชื่อถือก็คือ เรื่องอำนาจของเงินตรา ที่สามารถคัดง้างได้แม้กับหินผาหรือดอกตะปูที่ยาวซักเมตรสองเมตร แต่ก็อีกนั่นล่ะ ที่ข้าพเจ้ายังแปลกใจว่าเงินตรามากมายพอสมควรที่ถูกหยิบยื่นเป็นข้อเสนอให้แก่ตาเฒ่า ยังไม่ดึงดูดใจคนแก่อย่างแกให้ยอมแลกเปลี่ยนสิทธิในการยึดครองผืนดินแปลงนั้น กับการได้เป็นเจ้าของเงินสดๆ หลายหมื่นบาท

ตาเฒ่าหน้าโง่คนนี้เป็นเจ้าของที่ดินหลายสิบไร่ที่รกครึ้มไปด้วยไม้ใหญ่นานาพันธุ์ เมื่อคราวที่ข้าพเจ้ากับคณะลูกหาบเดินทางมาถึงหมู่บ้านในพื้นราบแห่งนี้ และได้เห็นความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของตาเฒ่าในครั้งแรก ข้าพเจ้าคิดคำนวณผลิตผลจากการโค่นล้มและแปรรูปไม้ดิบเหล่านั้นขึ้นมาในทันที และสนนราคาแรกกับตัวเลขห้าหมื่นบาท ได้ถูกหยิบยื่นเสนอให้แก่ชีวิตอาภัพนั้นโดยทันทีเช่นกัน

คราวแรกข้าพเจ้าคิดว่าอะไรๆ ก็คงง่ายในเมื่อแกเองเป็นคนเฒ่าคนแก่ ที่ยังไงเสียก็ไม่สามารถจะแสวงหาเงินจำนวนมากขนาดนี้ได้อีก แกอาจต้องการเงินทองเอาไว้ใช้ในยามขัดสนด้วยการที่แกอยู่ตัวคนเดียวโดยไม่มีแม้แต่ญาติมิตรหรือแม้กระทั่งเพื่อนสักคน แกคงยินยอมตอบรับข้อเสนอของข้าพเจ้าด้วยมือไม้อันสั่นเทาและด้วยความปลาบปลื้มใจ

แต่เปล่าเลย แกไล่ตะเพิดข้าพเจ้าและคณะเหมือนหมูเหมือนหมาต่างหาก

“ป่านี้ของกู กูอยู่มาโดนแล้ว กูบ่ขาย” แกสำรากถ้อยคำออกมาอย่างน่ากลัว ใบหน้าเหี่ยวย่นแฝงเร้นด้วยความลึกลับ ดวงตาแดงก่ำอย่างคนที่กรำพิษสุรามาช้านาน ข้าพเจ้าเหลือบมองเข้าไปในกระท่อมนั้น มองเห็นขวดเหล้าบรรจุน้ำขาววางเรียงราย แว่วได้ยินเสียงน้ำตกสาดซ่าอยู่ในความรู้สึก แต่ประโยคเสียดลึกถึงขั้นทำให้ข้าพเจ้าเนื้อเต้นก็คือ

“ป่าของกู ใครมาครองต่อกู พวกมันจะชิบหายวายวอด กูสาปแช่งไอ้พวกพื้นราบทุกคน!”

ข้าพเจ้ากับคณะจึงถอยร่นจากบ้านไม้ที่อยู่กลางป่า พาตัวเองเดินลัดเลาะตามทางเดินที่ลาดเอียง เส้นทางถูกหักร้างถางพงเอาไว้ ยังพอจะเห็นร่องรอยอยู่บ้าง ในใจของข้าพเจ้ายังโกรธเกรี้ยวกับคำพูดของตาเฒ่าดื้อรั้นคนนั้น ในสายตาของข้าพเจ้าแกไม่ได้เป็นผีโขมดหรือผีห่าเหวอะไรอย่างที่ชาวบ้านโจษขานไว้หรอก

ผิดแต่แกเป็นคนบ้าต่างหาก!

ข้าพเจ้าเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวโดยไม่ปริปากบอกเจ้านายใหญ่ ยังสั่งคนงานตัดไม้ทำงานของตัวเองต่อเนื่องไป เรายังมีแผนลักลอบโค่นไม้อีกสองสามแห่งในป่าใหญ่แห่งนี้ ส่วนผืนดินของตาเฒ่าจะต้องตกอยู่ในกำมือของข้าพเจ้าเอง เพราะมันหมายถึงรายได้งาม ๆ จากการโค่นล้มและแปรรูปไม้ทุกต้นในผืนป่าบนเนินเขาลูกนั้น ทั้งหมดจะต้องตกเป็นของข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว

ข้าพเจ้าทำงานถวายหัวแก่เจ้านายอย่างโง่เง่ามานานหลายปี โดยไม่เคยนึกถึงผืนดินสักแห่งที่จะครอบครองเป็นของตัวเอง ใช่ สุดท้ายชีวิตมนุษย์จะต้องการอะไรมากไปกว่าผืนดินสักแห่งสำหรับฝังกลบตัวเอง และก่อนจะถึงวันสุดท้ายในชีวิต ข้าพเจ้าจะทวีคูณผลกำไรจากเงินก้อนใหญ่ที่สั่งจ่ายให้แก่ตาเฒ่าคนนั้น และจะใช้จ่ายมันอย่างสนุกมือเสียก่อน

นับจากวันนั้น ข้าพเจ้าวนเวียนไปยังหมู่บ้านริมเขาแห่งนั้นอยู่เรื่อยๆ จนใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้นำหมู่บ้านที่ไม่ได้มีตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านแต่อย่างใด ที่นี่เป็นหมู่บ้านชาวป่าในดงตะเข็บชายแดนภาคอีสาน ไม่มีหรอกที่จะถูกตีทะเบียนขึ้นตรงกับทางราชการ ประชากรทุกคนต่างเป็นมนุษย์ผู้ตกสำรวจ และหากจะหายหัวไปสักคนสองคน ก็คงไม่มีใครสนใจ!

คิดได้ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงคิดจะเล่นไม้แข็งกับแก โดยการแนะนำของลุงปองผู้นำชาวบ้าน

ข้าพเจ้าบรรจุกระสุนลงในกระบอกแฝดของปืนลูกซอง ขณะย่างเท้าเข้าหากระท่อมโกโรโกโสหลังนั้น เหยียบย่างเข้าไปท่ามกลางสภาพอันเงียบสงบ แว่วใบหูได้ยินเสียงสาดซ่าของโกรกธารน้ำตกและสำเนียงจากหริ่งหรีดเรไร กระท่อมหลังนั้นตั้งดำทะมึนเป็นเงาตะคุ่มแฝงตัวอยู่ในความมืดเงียบแห่งราตรี ราตรีที่ไม่มีสำเนียงใดนอกเหนือไปจาก…เสียงใบไม้หวีดหวิว เสียงสาดตัวเองของธารน้ำ และเสียงปืนลูกซองที่แผดก้องกัมปนาท !

ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าได้ครอบครองผืนดินแห่งนี้แล้วโดยสมบูรณ์

ศพของตาเฒ่าถูกยัดใส่กระสอบพลาสติกทอละเอียดอย่างดี ข้าพเจ้าเป็นคนมัดเชือกฟางปิดปากกระสอบด้วยมือของตัวเอง จากนั้นจะมีอะไรเป็นเกียรติแก่ตาเฒ่าได้มากกว่าการเหวี่ยงร่างไร้วิญญาณให้ปลิวถลาลงไปในธารน้ำตกที่กำลังทิ้งตัวเองลงไปสู่เบื้องล่างด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล กว่าร่างของแกจะไหลออกไปพ้นชายป่า ศพนั้นคงเปื่อยยุ่ยแหลกเหลว และใครจะรู้จักเฒ่าชะแลผู้โดดเดี่ยวอย่างแก…

ข้าพเจ้าไม่อยากให้เหตุการณ์จบลงอย่างนี้แม้แต่น้อย แต่เมื่อมีอะไรสักอย่างมากีดขวางทางเดินของเรา การจะเหนี่ยวไกปืนยิงใครสักคน ก็ไม่ใช่เรื่องยากนักสำหรับปลายนิ้วชี้ของข้าพเจ้า ชีวิตคนไม่มีค่าอะไรมากนักหรอก มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าต้องปลิดชีวิตใครสักคน ข้าพเจ้าเคยกระทำมามากกว่านี้…

จากวันนั้นข้าพเจ้าได้ว่าจ้างชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนั้นเอง เพื่อทำงานโค่นล้มและแปรรูปไม้รายรอบกระท่อมหลังนั้น งานของข้าพเจ้ารุดหน้าไปเรื่อย ๆ อย่างดีวันดีคืน ถึงตอนนี้ชาวบ้านได้ลืมคำสาปแช่งของแกไปแล้ว เช่นเดียวกับศพตาเฒ่าที่ลอยหายไปกับธารน้ำหลากสายนั้น

เกือบสามปีที่ป่าผืนนั้นถูกทำให้ค่อย ๆ ราบพนาสูรไป และข้าพเจ้าก็ยังได้รับเงินเดือนจากเจ้านายท่ามกลางเสียงเลื่อยยนต์ที่ดังระงม มันเป็นช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าจะต้องจดจำไว้ในหัวกบาล เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เกือบจะกลืนกินชีวิตของข้าพเจ้าให้เลือนรางไปอย่างไม่เคยคาดคิดมาก่อน

และบางทีข้าพเจ้าอาจต้องฝืนใจให้เชื่อว่า อิทธิฤทธิ์จากคำสาปแช่งนั้นมีจริง !

สายฝนเริ่มโปรยปรายตัวเองลงมาอย่างแผ่วเบาเมื่อเริ่มต้นฤดูฝนในปีนั้น ข้าพเจ้าเพิ่งเลิกราจากวงสุราบนพื้นราบ และกลับมาเหยียดกายนอนอยู่ภายในกระท่อมของตาเฒ่าซึ่งเก่าแก่ลงมากกว่าเดิม ณ บัดนี้ข้าพเจ้าเริ่มมีความคิดจะรื้อถอนกระท่อมเก่าหลังนี้เพื่อปลูกสร้างบ้านไม้หลังใหม่ด้วยเนื้อไม้ชั้นดีที่ได้คัดสรรเอาไว้ ข้าพเจ้ากำลังคิดจะลงหลักปักฐานบนผืนดินที่ใครๆ ต่างก็เกรงกลัวในอิทธิพลของข้าพเจ้า และมองข้าพเจ้าไม่ต่างจากราชาบนเนินเขาว่างเปล่าลูกนี้

ข้าพเจ้าเหยียดกายนอนภายใต้ลมพายุที่พัดกรรโชกแรงขึ้น รู้สึกได้บ้างถึงแรงโยกออดแอดของตัวกระท่อม แต่ข้าพเจ้าไม่สู้จะใส่ใจกับมันมากนัก จนช่วงจังหวะที่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหล่นลงของตัวโลหะชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งไม่อาจจะคาดเดาได้ว่าวัตถุนั้นคืออะไร แต่เมื่อส่องสว่างด้วยแสงของตะเกียงเจ้าพายุ ข้าพเจ้าได้เห็นตะปูเปื้อนขี้สนิมสองสามดอกนอนตัวนิ่งอยู่ที่พื้น ขณะที่แรงลมยังพัดเข้าหาตัวกระท่อมอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางความหวาดกลัวที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ ในใจของข้าพเจ้า

เรือนทั้งหลังโยกคลอนคล้ายดั่งเรือตังเกที่ลอยคว้างอยู่กลางยอดคลื่น ตะปูอีกหลายดอกร่วงกราวลงสู่พื้น หลังคาจากถูกกระชากให้เปิดออกด้วยแรงเหวี่ยงของลมพายุ เม็ดฝนหนาใหญ่ร่วงกระแทกพื้นบ้านและใบหน้าของข้าพเจ้า เพียงครู่เดียวโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ฝนห่าแรกได้ทิ้งตัวลงมาโดยไม่บอกกล่าว เรือนทั้งหลังไหวเอนราวกับมีมือลึกลับพยายามจะผลักไสให้มันหลุดออกจากหลักยึดที่หยั่งตัวลงไปในเนื้อดิน

ชั่ววูบหนึ่งข้าพเจ้านึกถึงใบหน้าลึกลับของตาเฒ่ากับคำสาปแช่งขึ้นมาได้

ห่าฝนที่ตกลงมาทำให้ผืนดินกลายเป็นเลนโคลน ข้าพเจ้ารู้สึกได้เมื่อแรกเหยียบย่ำเท้าลงที่ผืนดินหน้ากระท่อม จากนั้นจึงพยายามพาตัวเองเดินฝ่าแรงลมพายุด้วยความหวาดกลัวแทบสิ้นสติสมปะดี เมื่อเหลียวหลังกลับไปเห็นภาพการล้มครืนลงของกระท่อมหลังนั้น ข้าพเจ้าขนลุกซู่ขึ้นมาในทันที พร้อมขยับเท้าเพื่อหลีกหนีให้พ้นจากภาพอันน่าหวาดกลัวนั้น ราวกับตัวเองกำลังถูกผีเฒ่าไล่ตามหลังเพื่อปลิดชีวิตให้สมแก่ความแค้น

ข้าพเจ้าลื่นไถลลงมาตามความลาดชันของเนินเขา และบางครั้งร่างกายบอบบางที่กรำพิษสุรามาช้านานก็กระแทกกระทั้นเข้ากับกิ่งก้านของไม้เล็ก ๆ ที่ยังไม่โตพอสำหรับการโค่นตัด การหลบหนีเป็นไปอย่างทุลักทุเลด้วยความหวังเพียงจะลงมาให้ถึงพื้นราบเท่านั้น อย่างน้อยยังมีเพื่อนผู้ต่ำต้อยหลายคนอยู่ที่นั่น และโชคดีในชั้นต้นที่ข้าพเจ้าสามารถพาตัวเองหกล้มหกลุกมาถึงบ้านเฒ่าปองผู้นำชาวบ้านได้

ท้องฟ้าสว่างวาบถี่ ๆ หลายครั้งราวกับว่ากำลังโกรธเกรี้ยวการกระทำความผิดบาปของใครสักคน เฒ่าปองงัวเงียออกมาเพื่อรับฟังเรื่องราวจากปากของข้าพเจ้า แกแสร้งทำสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัดแล้วจึงพาข้าพเจ้าหลบเข้าในชายคาเพื่อให้พ้นจากห่าฝนซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก

“ตั้งแต่เกิดมา กูไม่เคยเห็นห่าฝนอะไรที่รุนแรงขนาดนี้มาก่อน” ข้าพเจ้าได้แต่พึมพำเมื่อพอจะคลายจากอาการตกใจบ้าง เมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงกล่าวกับตัวเองต่ออีกว่า “กูลืมแม้แต่จะหยิบปืน…”

“งั้นเรอะ” แกคงอยากหัวเราะเสียเต็มประดา เพียงแต่ยังกริ่งเกรงข้าพเจ้าอยู่บ้าง “นอนเสียที่นี่เถอะนาย ลืมกระท่อมไอ้เฒ่านั่นซะ เดี๋ยวจะให้ลูกบ้านปีนขึ้นไปสร้างให้ใหม่ มันคงจะแข็งแรงกว่านี้หรอก คืนนี้หลับเสียที่นี่ล่ะ”

ข้าพเจ้ากล่าวขอบคุณน้ำใจของเพื่อน พลางใช้ผ้าขาวม้าเช็ดเส้นผมที่โชกชุ่มของตัวเอง ชายคนนั้นหายเข้าไปในห้องนอนเพียงชั่วครู่ ก่อนจะกลับออกมาพร้อมหมอนกับผ้าห่มเก่า ๆ ขาด ๆ เขาวางมันลงข้างตัวข้าพเจ้าพร้อมทั้งชำเลืองสายตาในแบบที่ข้าพเจ้าไม่เคยนึกชอบ แล้วจึงเดินเข้าหาบานหน้าต่างที่ปิดสนิทอยู่

“เปิดหน้าต่างให้ลมระบายสักหน่อยท่าจะดี” แกพูดท่ามกลางแสงสลัวของตะเกียง

เสียงออดแอดครวญครางออกมาจากบานหน้าต่างอันฝืดเคือง ฉับพลันใบหูของข้าพเจ้ากลับได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกอันไม่เป็นภาษามนุษย์ของเฒ่าปอง เสียงนั้นกระชากขนทุกเส้นบนร่างกายของข้าพเจ้าให้ลุกชันขึ้น ข้าพเจ้าผุดลุกขึ้นอย่างคนตื่นกลัว ภาพที่เห็นนอกกรอบหน้าต่างคือสายน้ำอันเชี่ยวกรากที่กำลังหลากเข้ามาหา จิตใจของข้าพเจ้าหล่นวูบลง และนั่นเป็นภาพเกือบสุดท้ายที่ข้าพเจ้าได้มองเห็นในค่ำคืนนั้น

ในชั่ววินาทีนั้นเองที่ข้าพเจ้าประจักษ์ชัดถึงความเป็นปีศาจของตาเฒ่าคนนั้น ทุกอย่างเป็นไปตามคำสาปแช่งอย่างแท้จริง เมื่อสายน้ำกระแทกเข้ากับตัวบ้าน ข้าพเจ้าเห็นภาพฝาไม้แตกสะบั้นเป็นท่อน ๆ รวมทั้งร่างเฒ่าปองที่โดนสายน้ำสาดซัดเช่นเดียวกับร่างของข้าพเจ้า ณ เวลานั้นเองที่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงสบถสาปแช่งของตาเฒ่าแห่งดงดอยคนนั้นอีก แกลุกขึ้นมาร่ำร้องอีกครั้ง อย่างที่เคยได้กล่าวกับข้าพเจ้าไว้ครั้งหนึ่งแล้ว

“ป่าของกู ใครมาครองต่อกู พวกมันจะชิบหายวายวอด กูสาปแช่งไอ้พวกพื้นราบทุกคน !”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *