ประวัติศาสตร์ของมนุษย์โคลน : ไมเคิ้ล เลียไฮ
ตอนนั้นข้าพเจ้าอยู่ในอเมริกาใต้ จุดเริ่มต้นของทุกเรื่องที่เกี่ยวกับมนุษย์โคลน…
พวกเขาอ้างว่าเป็นเช่นเดียวกับการเพาะเนื้อเยื่อชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์เพื่อการเปลี่ยนถ่าย อย่างไรก็ตาม สิทธิในการป้องกันการถูกโคลนนิ่งได้กลายรูปมาเป็นกฎหมายที่ถูกใช้สำหรับกลุ่มประเทศที่ไม่เห็นด้วย เมื่อวิวัฒนาการของมนุษย์ดำเนินมาถึงจุดของการบริโภคเนื้อมนุษย์โคลนและการเสพย์สังวาสกับร่างโคลนที่ถูกสร้างขึ้นจากต้นแบบจำนวนมาก ในตลาดมืดมีการประมูลพันธุกรรมของบุคคลที่มีชื่อเสียงที่หามาได้จากการโจรกรรม ทำให้ราคาชุดรหัสพันธุกรรมทวีราคาขึ้นมาก
“มันเป็นแค่ร่างโคลน” เขาพูด “มนุษย์โคลนไม่มีสิทธิทางกฎหมาย พวกเขาเหมือนพวกต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมือง ไม่มีบัตรประชาชน ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีญาติพี่น้อง พวกเขามักโดดเดี่ยว ตัวคนเดียว เราสร้างพวกเขาขึ้นมาเพื่อใช้เป็นแรงงานแลกกับค่าแรงในระดับต่ำ และยอมรับว่าบางส่วนถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นอาหารของคนกลุ่มหนึ่งที่มีรสนิยมการบริโภคเนื้อมนุษย์”
ข้าพเจ้าถามเขาอีกว่าทำไมคนเราต้องสร้างมนุษย์โคลนขึ้นมาแล้วปล่อยให้ “คน” พวกนั้นหารายได้ด้วยการค้าบริการทางเพศ
“ถ้าลูกสาวคุณทำงานในไร่แลกกับเงินไม่กี่เหรียญ ไม่นานลูกสาวของคุณก็เป็นแบบนั้นเอง มนุษย์โคลนไม่ใช่หุ่นยนต์ พวกเขาเป็นคนที่มีเลือดเนื้อ มีอารมณ์และจิตใจ ที่สำคัญพวกเขาหิวเป็น ไม่นานปัญหานี้ทำให้คนบางกลุ่มมองเห็นช่องทางที่จะทำเงินก้อนโตได้”
คนเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน จินตนาการถึงยุคนี้ในหน้านิยายวิทยาศาสตร์ว่า มันคงจะเต็มไปด้วยมนุษย์กลที่มองจากภายนอกแล้วมีรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์มาก จนเมื่อถูกเข็มแทงเลือดก็คงจะไหล และมนุษย์กลเหล่านั้นจะมีชิพประมวลผลขนาดเล็กในก้อนสมองที่ทำให้พวกเขามีความสามารถในการเดิน ยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ รู้จักที่จะมีความเย่อหยิ่งหรืออ่อนน้อมถ่อมตน คนเมื่อร้อยปีก่อนยังจินตนาการในนิยายวิทยาศาสตร์ว่าจักรกลจะสามารถใช้อารมณ์เหล่านั้นประดิษฐ์คำพูดโต้ตอบกับมนุษย์
แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย
จักรกลเป็นเพียงหุ่นยนต์ที่เราเรียกกันว่า “โรบอท” ขนาดไม่ใหญ่มาก ที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมทั่วโลกโดยไม่ต้องใช้ความอดทนหรือความขยันขันแข็งเช่นเดียวกับคน หรือกับรถยนต์ที่ขับเคลื่อนได้เองบนท้องถนนที่มักปรากฎเป็นข่าวถึงอุบัติเหตุจากยานยนต์ไร้คนขับเหล่านี้เสมอ ในกรณีของเครื่องบิน จักรกลเหล่านี้ยังได้รับการยอมรับมากกว่า เมื่อครั้งหนึ่งพวกสลัดอากาศจากตะวันออกพยายามไฮแจ็คเครื่องบินไร้คนขับ แต่ปรากฏว่าพวกเขาสั่งงานมันไม่ได้ ทั้งหมดจึงต้องยอมลงมอบตัวที่สนามบินปลายทางอย่างโจรที่ไร้ทางสู้
การที่จักรกลไม่มีความสามารถในการเข้าใจภาษามนุษย์ ถือว่าเป็นสิ่งถูกต้องแล้ว
บุคคลที่ไม่ว่าข้าพเจ้าจะพยายามอย่างไรก็ไม่ยอมเปิดเผยชื่อสกุลหรือภาพถ่ายแม้แต่ใบเดียวยังบอกอีกว่า
“พวกอาชญากรในตลาดมืดมีไอเดียเป็นร้อยๆ วิธีที่จะหาดีเอ็นเอของคนดังๆ มาใช้สร้างร่างโคลนของคนพวกนั้นขึ้นมา ร่างเลียนแบบของคนที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นจะกลายเป็นอาหารของคนที่มีเงินมากพอจะกินเนื้อมนุษย์ได้ พวกเขาบางส่วนต้องค้าบริการทางเพศโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองเป็นร่างโคลนของบุคคลที่มีชื่อเสียงมาก ในประเทศของเรามีการประมูลร่างโคลนของดารา นางงามจากทั่วทุกมุมโลกปีละสองครั้ง แล้วแต่คนที่ประมูลได้ไป ว่าพวกเขาจะเอาไปนอนด้วย หรือว่าจะเอาไปกิน”
ถ้าลบเรื่องสิทธิของเจ้าของรหัสพันธุกรรมออกไปจากความคิด ข้าพเจ้ายังสงสัยอยู่ว่าในเมื่อพวกเขามีรหัสพันธุกรรมของคนพวกนั้นแล้ว ทำไมพวกเขาไม่สร้างร่างแทนของคนพวกนั้นขึ้นมาครั้งละมากๆ
“ถ้ามีมากไปราคาของมันจะตกลง ถ้ามีแค่ร้อยราคาจะขยับขึ้นมาหน่อย ถ้ามีแค่สิบราคาก็สูงขึ้นมาก และถ้ามีแค่ร่างเดียว ราคาของมันก็สูงจนไม่น่าเชื่อ เราไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องการค้าเด็กหญิงแบบคนสมัยก่อนทำอีกแล้ว พวกเจ้าของกิจการที่ทำแบบนั้นอาจจะได้เงินครั้งละไม่กี่ร้อยบาท แต่หมายถึงการค้ามนุษย์ที่ทำเงินได้มากกว่า เพราะมันเป็นกิจกรรมเฉพาะของคนบางกลุ่มเท่านั้น”
มนุษย์โคลนชุดแรกถูกเปิดเผยแก่สาธารณชนเมื่อราวสามสิบปีก่อน เป็นมนุษย์โคลนในรูปลักษณ์ของเด็กชายหญิงจากอเมริกาใต้ ในตอนนั้นคนจำนวนมากไม่เชื่อว่าพวกเขาเป็นมนุษย์โคลน จึงมีการพิสูจน์กันเล็กน้อยด้วยการพาเจ้าของรหัสพันธุกรรมมาเทียบรหัสพันธุกรรมกับเด็กเหล่านั้น ภาพถ่ายตอนเด็กของพวกเขาเหมือนกับร่างที่ถูกอ้างว่าเป็นร่างโคลนอย่างกับแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ร่างโคลนของเด็กเแสดงความสามารถในการหยิบจับสิ่งของและแสดงอารมณ์อื่นๆ เสียแต่ที่พวกเขาพูดไม่ได้เพราะไม่เคยถูกสอนให้รู้จักการพูด ทุกคนต่างยอมรับว่าร่างโคลนจะอยู่ได้ไม่เกินสามสิบปี หลังจากนั้นการสร้างร่างโคลนของมนุษย์กลายเป็นสิ่งที่ถูกโจมตีตลอดมา
โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ศรัทธาในพระเจ้า
การถกเถียงที่กลายเป็นเรื่องใหญ่ในเวลาต่อมา กับเงื่อนไขที่ว่าหากมนุษย์จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่โดยการกดขี่คนสักกลุ่ม สงครามก็นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของเรื่องนี้ และถ้าหากมีมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการถูกกดขี่โดยเฉพาะ ก็คงดีกว่าการที่มนุษย์อย่างเราจะตั้งหน้าตั้งตาเบียดเบียนกันเอง
ตลอดหนึ่งทศวรรษที่มนุษย์โลกกำลังถกเถียงกันถึงเรื่องนี้ เด็กโคลนเหล่านั้นถูกส่งไปทดลองใช้แรงงานปะปนกับคนอเมริกาใต้ที่ได้รับการศึกษาน้อยและไม่ค่อยรู้ข่าวสาร เด็กเหล่านั้นทำงานหนักในไร่ยาสูบเช่นเดียวกับแรงงานเด็กอย่างที่โลกของเราเคยรู้จัก เด็กหญิงแทบทั้งหมดมีเพศสัมพันธ์กับชายชาวไร่และตั้งท้องขึ้นตั้งแต่อายุไม่ถึง 16 ปี แทบทั้งหมดในจำนวนนั้นเข้าสู่พิธีแต่งงานอย่างเรียบง่ายและแท้งลูกในทุกการตั้งครรภ์ ระหว่างที่พวกเธอเข้าไปในโบสถ์เล็กๆ สวดอ้อนวอนพระเจ้า ด้วยการออกเสียงภาษาพูดที่ไม่ค่อยชัดนัก ผู้ที่ทำการทดลองเรื่องมนุษย์โคลนกำลังเฝ้ามองอยู่ และได้ข้อสรุปจากการ ถกเถียงกันภายในกลุ่มว่า การแท้งลูกในท้องของพวกเธอเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ในระหว่างที่บางประเทศตื่นตัวต่อปัญหากำลังเกิดขึ้น พวกเขาปรึกษากันว่าควรจะเขียนกฎหมายป้องกันการสร้างและนำเข้าร่างโคลนของมนุษย์ในประเทศของพวกเขาอย่างไร ตลอดทุกปีมีมนุษย์โคลนถูกสร้างขึ้นเป็นจำนวนมาก เมื่อถึงเวลานี้เริ่มมีพวกหัวการค้าเกิดไอเดียว่าพวกเขาควรหาผลประโยชน์จากมนุษย์โคลนในช่องทางไหน พระเจ้าคนใหม่ฝังตัวเองอยู่ในประเทศเล็กๆ ของทวีปอเมริกาใต้ เพื่อเพาะพันธุ์มนุษย์โคลน เขาเป็นชายแก่สวมชุดขาวทั้งตัว สวมหมวกสานจากพืชท้องถิ่น ชอบขี่จักรยานไปแวะทักทายคนงานในไร่แถวนั้นทุกวัน ทุกคนรู้จักเขาในฐานะเจ้าของที่ดินที่พวกตนลงแรงแลกกับเงินอันน้อยนิด หากพวกเขาไม่รู้ว่าคนจำนวนหนึ่งที่อาศัยปะปนกับพวกเขาไม่ได้เป็นมนุษย์แท้ ถึงเวลานั้นร่างโคลนของเด็กชายล้วนพูดภาษามนุษย์ได้ พวกเขากลายเป็นผู้ใหญ่เต็มวัยที่ติดเหล้าและบุหรี่ ใช้ความรุนแรงกับภรรยาและลูกของตน เมื่อพระเจ้าคนใหม่เรียกพวกเขามาถามถึงพ่อกับแม่ พวกเขาชี้มาที่พระเจ้าคนใหม่ แล้วออกเสียงคำว่า “ปาป้า” ที่แม้พระเจ้าคนใหม่จะแกล้งปฏิเสธอย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่มีความสงสัยในความเป็นมาของตัวเองแม้สักนิดเดียว
ช่วงปลายของทศวรรษแรกนั้นเองที่ร่างโคลนชุดแรกถูกขายให้แก่เจ้าของสวนปาล์มในเอเชียอย่างลับๆ และร่างโคลนอีกเป็นจำนวนมากได้ถูกส่งออกไปทั่วโลก ทั้งในประเทศที่มีกฎหมายป้องกันการค้ามนุษย์โคลนและทั้งประเทศที่ไม่มีกฎหมายดังกล่าว หรือได้ยกเลิกกฎหมายดังกล่าวไปแล้ว ปรากฏว่ามนุษย์โคลนจากอเมริกาใต้บางส่วนถูกขายต่อให้แก่สถานบริการชั้นสูงหลายแห่งทั่วโลกที่ต่างพยายามหาผู้หญิงท้องถิ่นจากซอกมุมต่างๆ มาประดับไว้ในสถานบริการของตน แทนที่จะเป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็กหรือในกิจการของบริษัทการเกษตรที่ใหญ่โตในมุมโลกไหนสักแห่ง เพียงไม่นานหลังจากนั้น นักแสดงสาวจากประเทศเขมรในวัย 18 ปีปรากฏตัวขึ้นกลางไร่ยาสูบของพระเจ้าคนใหม่ ชายสูงวัยไม่เปิดเผยว่าเขาได้รหัสพันธุกรรมของนักแสดงสาวที่ตอนนี้แก่หง่อมหนังตาห้อยมาได้อย่างไร และนับจากนั้นเป็นต้นมา กิจการของพระเจ้าคนใหม่กลายเป็นสิ่งที่คนทั่วโลกให้ความสนใจอย่างแท้จริง
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างโคลนของนักแสดงสาวชาวเขมร ไม่มีข่าวที่เกี่ยวกับเธออีก มีแต่ข่าวของพระเจ้าคนใหม่กับข่าวบุคคลที่มีชื่อเสียงต้องหัวเสียเมื่อเกิดมีร่างโคลนของตนออกมาสู่ตลาด พระเจ้าคนใหม่ผู้ไม่เกรงกลัวสิ่งใดมีความใกล้ชิดกับรัฐบาลในประเทศที่เขาอาศัยอยู่ ไม่มีใครรู้ว่าเขาแลกสิ่งใดกับคนในรัฐบาลนั้น จะรู้เพียงแต่ว่ามีทหารสักครึ่งกองทัพรายล้อมไร่ยาสูบกำมะลอของเขาอยู่
การโจรกรรมรหัสพันธุกรรมของบุคคลที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกยังคงดำเนินไป ปลายปีก่อนข้าพเจ้าอยู่ในเมืองเล็กๆ ในจีนแผ่นดินใหญ่ มีการเปิดประมูลร่างโคลนในวัยเด็กและวัยรุ่นของบุคลลที่มีชื่อเสียงอย่างเงียบเชียบ ที่ชั้นบนของอาคารหรูหรากลางเมืองนั้น มีร่างโคลนของนักการเมืองอเมริกันถูกชำแหละเป็นชิ้นและผู้มั่งมีชาวจีนนับสิบคนกำลังกลุ้มรุมกัดกินร่างกายนั้น
“เราโคลนพวกเขาจากรากผมแค่เส้นเดียวเท่านั้น”
เสียงพิธีกรบนเวทีพูด บางทีเขาอาจคิดว่าจีนเป็นพื้นที่เดียวในโลกที่เหมาะสมสำหรับการค้ามนุษย์เลียนแบบ และเป็นประเทศที่มีตำรับการเปิบพิศดารชนิดไม่แพ้หน้าไหนในโลก บุคคลที่เข้าร่วมงานเป็นบุคคลที่มีทรัพย์สินเงินทองอย่างมั่งคั่ง ราคาประมูลร่างโคลนบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ดูเหมือนในตอนนี้ก็รู้จนหมดสิ้นแล้วว่าตนเป็นเพียงร่างเลียนแบบที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการค้า แต่การแต่งตัวอย่างงดงามบนเวทีด้วยเสื้อผ้าชนิดที่ข้าพเจ้าเขียนข่าวอีกร้อยปีก็หาซื้อมาใส่ไม่ได้ กลับทำให้พวกเขาหลงเคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศที่สร้างขึ้นเพื่อกล่อมให้พวกเขารู้สึกตนว่าเป็นบุคคลที่สำคัญ วัยรุ่นสาวที่เป็นร่างเลียนแบบของดาราฮ่องกงอวดทรวดทรงองเอวบนเวที จนเศรษฐีจากโลกตะวันตกผู้ชนะการประมูลได้ตัวเธอไปในราคาที่สูงลิ่ว ในภายหลังข้าพเจ้าจึงทราบแน่ว่าเขาเลี้ยงดูเธอไว้เพียงสี่ปีเท่านั้นโดยการทารุณกรรมสารพัดอย่าง และเมื่อรู้สึกเบื่อก็ขายต่อไปอีกหลายมือด้วยกัน
ขณะนี้เป็นช่วงปลายของทศวรรษที่สาม พระเจ้าคนใหม่จากโลกนี้เมื่อหลายปีก่อนด้วยกระสุนเพียงนัดเดียว ระหว่างที่เขาขี่จักรยานไปแวะถามมนุษย์โคลนหนุ่มแน่นว่าใครเป็นพ่อที่แท้จริงของพวกเขา ปัญหาเรื่องการโจรกรรมรหัสพันธุกรรมของบุคคลที่มีชื่อเสียงยังไม่ซาไปจากโลก และใกล้จะเกิดสงครามระหว่างสองทวีปมากขึ้นทุกที เมื่อกิจการของพระเจ้าคนใหม่ตกอยู่ในมือของคนที่ครั้งหนึ่งเคยให้ความคุ้มครองเขามาก่อน เมื่อสองสัปดาห์ก่อนมนุษย์โคลนต้นแบบจากเอเชียที่เป็นเพียงคนงานในโรงงานทำกระดาษจากวัสดุท้องถิ่นพลั้งมือฆ่าเจ้าของโรงงานที่สั่งซื้อเขามาเพื่อใช้งานหนักนานกว่าสามปี เขาเป็นมนุษย์โคลนคนแรกที่ฆ่าคนตาย ในเมื่อไม่มีทั้งบัตรประชาชน ไม่มีแม้ชื่อที่รับรองได้ว่าเป็นบุคคลของประเทศใดในโลก อีกทั้งตัวเขาเองก็ไร้เทือกเถาเหล่ากอ ชายหนุ่มจึงยอมรับกับเจ้าหน้าที่อย่างง่ายดายว่าสงสัยตัวเองจะเป็นสิ่งที่โทรทัศน์เรียกกันว่ามนุษย์โคลน ข่าวในลักษณะนี้ชักเกิดขึ้นถี่ในหลายประเทศ มันนำมาซึ่งการตัดสินประหารชีวิตมนุษย์โคลนหลายครั้งหลายหนด้วยกัน
ปัญหาเรื่องการโจรกรรมรหัสพันธุกรรมและการค้ามนุษย์โคลนยังดำเนินต่อไปจนใกล้สิ้นสุดช่วงทศวรรษที่สาม ข้าพเจ้าไม่ได้กลับเข้าอเมริกาใต้อีก และครั้งสุดท้ายที่กลับเข้าไปก็หวุดหวิดพอดู แต่ข้าพเจ้าเจอเขาอีกในกรุงเทพมหานคร ตามคำเชื้อเชิญประสาเพื่อนเก่า เขา – บุคคลที่ไม่ยอมเปิดเผยตัวตนหรือแม้แต่จะยอมให้ถ่ายภาพสักภาพเดียวกำลังรุ่งเรืองทางการเงินด้วยธุรกิจที่เพิ่งเริ่มได้ไม่นานเท่าไร เขามองข้าพเจ้าราวกับหุ้นส่วนที่มีความสำคัญมากคนหนึ่งของเขา, และตั้งคำถามโดยข้าพเจ้ายังไม่ทันได้สั่งอาหาร
“คุณเข้าถึงตัวใครในกรุงเทพฯ ที่มีชื่อเสียงได้บ้าง”
สิ้นเสียงคำถามนั้น ข้าพเจ้ารู้แจ้งว่าเขาเดินทางมากรุงเทพมหานครเพื่อสิ่งใด.